คนเสมือนไร้ความสามารถ (A Quasi-Incompetent Person)
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 32 วรรคแรก บัญญัติว่า “บุคคลใดมีกายพิการหรือมีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบหรือประพฤติสุรุ่ยสุร่ายเสเพลเป็นอาจิณ หรือติดสุรายาเมา หรือมีเหตุอื่นใดทำนองเดียวกันนั้น จนไม่สามารถจะจัดทำการงานโดยตนเองได้ หรือจัดกิจการไปในทางที่อาจจะเสื่อมเสียแก่ทรัพย์สินของตนเองหรือครอบครัว เมื่อบุคคลตามที่ระบุไว้ในมาตรา 28 ร้องขอต่อศาล ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถก็ได้”
คนเสมือนไร้ความสามารถ (A Quasi-Incompetent Person) นั้นจะต้องเป็นบุคคลที่ไม่สามารถจะจัดทำการงานของตนเองได้เพราะเหตุหนึ่งเหตุ 3 ประการดังต่อไปนี้
1. มีเหตุบกพร่องบางอย่างที่กฎหมายกำหนดไว้
2. ไม่สามารถจัดการงานของตนได้เพราะเหตุบกพร่อง
3. ศาลมีคำสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ
เหตุบกพร่องที่กฎหมายกำหนดไว้ได้แก่
1. กายพิการ หมายถึงร่างการไม่สมประกอบ เช่น ตาบอด เป็นใบ้ หูหนวก หรือเป็นอัมพาต ไม่ว่าจะเป็นแต่กำเนิดหรือเป็นในภายหลังด้วยเหตุต่างๆ
2. จิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ เช่น มีจิตใจบกพร่อง หรือสมองพิการ แต่ยังไม่เข้าขั้นคนวิกลจริต คนที่มีสติฟั่นเฟือนนี้ มีสติรู้ผิดชอบอยู่ในเรื่องทั่วไป แต่บางเรื่องก็ไม่สามารถรู้ผิดชอบได้ เช่นบ้าแต่งตัว บ้าแฟชั่น หรือเลอะเลือนเป็นบางครั้ง
3. ประพฤติสุรุ่ยสุร่าย เสเพลเป็นอาจิณ หมายถึงคนที่จ่ายทรัพย์สินให้สิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์เกินกว่ารายได้ที่ได้รับ เที่ยวเตร่ หรือชอบเล่นการพนันล้างผลาญทรัพย์สมบัติโดยไร้ประโยชน์ และกระทำเป็นอาจิณ (คำว่า อาจิณ หมายถึง เป็นปรกติ, ติดเป็นนิสัย, เสมอ ๆ, เนือง ๆ)
4. ติดสุรายาเมา หมายถึงคนที่เสพสุรา หรือพวกของมึนเมาต่างๆ และกระทำเป็นอาจิณ จะเว้นไม่เสพเสียไม่ได้
5. เหตุบกพร่องอื่น ๆ ทำนองเดียวกันกับข้อ 1 ถึง ข้อ 4 เช่นบุคคลที่มีอายุมากหลงๆ ลืมๆ ช่วยเหลือตนเองไม่ได้เป็นต้น
ไม่สามารถจัดการงานของตนได้เพราะเหตุบกพร่อง
หมายความว่า เมื่อบุคลใดมีเหตุบกพร่องอย่างใดอย่างหนึ่งใน 4 ประการดังกล่าวมาแล้ว ทำให้บุคคลนั้นไม่สามารถจัดทำการงานของตนได้ แต่ถ้าบุคคลนั้นแม้มีเหตุบกพร่องแต่ยังสามารถทำงานได้อย่างเป็นปรกติ ก็ไม่เข้าเหตุแห่งการเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ
คำพิพากษาฎีกาที่ 95/2483
ภรรยาผู้ร้องป่วยเป็นโรคอัมพาตมือเท้าตาย ไม่สามารถลุกนั่งด้วยตนเองได้เท่านั้น แต่ผู้ร้องไม่มีพยานมาสืบว่าภรรยาผู้ร้องมีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ ไม่สามารถทำงานได้ จึงยังไม่เข้าหลักเกณฑ์เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ
ศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ
ศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ เมื่อมีบุคคลร้องขอ บุคคลผู้มีสิทธิร้องขอเป็นบุคคลกลุ่มเดียวกับผู้มีสิทธิร้องขอให้ศาลสั่งให้บุคคลเป็นคนไร้ความสามารถ มาตรา 28 ได้แก่
1. คู่สมรส
2. ผู้บุพการี กล่าวคือบิดา มารดา ปู่ย่า ตายาย ทวด
3. ผู้สืบสันดานกล่าวคือ ลูก หลาน เหลน ลื่อ
4. ผู้ปกครองหรือผู้พิทักษ์
5. ผู้ซึ่งปกครองดูแลบุคคลนั้น
6. พนักงานอัยการ
คำสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถนี้ ต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ผลของการเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ
1. คนเสมือนไร้ความสามารถต้องตกอยู่ในความพิทักษ์ หรือความดูแลของผู้พิทักษ์ โดยผู้พิทักษ์ของคนเสมือนไร้ความสามารถ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม เช่นเดียวกับผู้อนุบาลของคนไร้ความสามารถ คือ
1. คนเสมือนไร้ความสามารถต้องตกอยู่ในความพิทักษ์ หรือความดูแลของผู้พิทักษ์ โดยผู้พิทักษ์ของคนเสมือนไร้ความสามารถ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม เช่นเดียวกับผู้อนุบาลของคนไร้ความสามารถ คือ
· ถ้าคนเสมือนไร้ความสามารถนั้นไม่มีคู่สมรส ไม่ว่าจะบรรลุนิติภาวะหรือไม่ ให้บิดามารดาเป็นผู้อนุบาล เว้นแต่ศาลจะสั่งเป็นอย่างอื่น (มาตรา 1569 และมาตรา 1569/1)
· ถ้าคนเสมือนไร้ความสามารถนั้นมีคู่สมรส ให้ภรรยา หรือสามีเป็นผู้พิทักษ์ แต่เมื่อผู้มีส่วนร่วมได้เสียหรืออัยการร้องขอ และถ้ามีเหตุสำคัญ ศาลจะตั้งผู้อื่นเป็นผู้พิทักษ์ก็ได้ (มาตรา 1463)
2. ถูกจำกัดความสามารถบางชนิด เมื่อบุคคลถูกศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ ผลทางกฎหมายคือ บุคคลนั้นไม่สามารถทำนิติกรรมบางชนิดที่กฎหมายกำหนดไว้โดยลำพังต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อน ซึ่งได้แก่
1. นำทรัพย์สินไปลงทุน
2. รับคืนทรัพย์สินที่ไปลงทุน ต้นเงินหรือทุนอย่างอื่น
3. กู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า
4. รับประกันโดยประการใด ๆ อันมีผลให้ตนต้องถูกบังคับชำระหนี้
5. เช่าหรือให้เช่าสังหาริมทรัพย์มีกำหนดระยะเวลาเกินกว่าหกเดือนหรืออสังหาริมทรัพย์มีกำหนดระยะเวลาเกินกว่าสามปี
6. ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูป เพื่อการกุศลการสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา
7. รับการให้โดยเสน่หาที่มีเงื่อนไขหรือค่าภาระติดพัน หรือไม่รับการให้โดยเสน่หา
8. ทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจะได้มาหรือปล่อยไปซึ่งสิทธิในอสังหาริมทรัพย์หรือในสังหาริมทรัพย์อันมีค่า
9. ก่อสร้างหรือดัดแปลงโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น หรือซ่อมแซมอย่างใหญ่
10.เสนอคดีต่อศาลหรือดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ เว้นแต่การร้องของตามมาตรา 35 หรือการร้องขอถอนผู้พิทักษ์
11.ประนีประนอมยอมความหรือมอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย
12.นิติกรรมซึ่งศาลกำหนดไว้ว่าต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อนจึงจะทำการนั้นได้ คำสั่งนี้ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 34 ถ้าคนเสมือนไร้ความสามารถทำนิติกรรมที่กำหนดไว้ข้างต้นโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อน นิติกรรมนั้นตกเป็นโมฆะ
ทั้งนี้ผู้พิทักษ์ไม่มีอำนาจเหมือนผู้ใช้อำนาจปกครอง เพราะกฎหมายไม่ได้บัญญัติให้นำกฎหมายว่าด้วยอำนาจปกครองมาใช้บังคับแก่ผู้พิทักษ์เหมือนดังเช่นผู้อนุบาล ดังนั้นผู้เสมือนไร้ความสามารถจึงประกอบกิจการต่างๆ ได้ ยกเว้นเฉพาะกรณีที่กฎหมายกำหนดให้ต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อนเท่านั้น
คำพิพากษาฎีกาที่ 666/2495
ผู้พิทักษ์จะฟ้องความแทนผู้เสมือนไร้ความสามารถโดยลำพังตนเองโดยมิได้รับมอบอำนาจจากผู้เสมือนไร้ความสามารถไม่ได้
คนเสมือนไร้ความสามารถกับพินัยกรรม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้น กำหนดว่า บุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นผู้เสมือนไร้ความสามารถจะเป็นพยานในการทำพินัยกรรมไม่ได้ (มาตรา 1670)
แต่กฎหมายไม่ได้ห้ามคนเสมือนไร้ความสามารถทำพินัยกรรม คนเสมือนไร้ความสามารถ ที่อายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ ขึ้นไป ย่อมทำพินัยกรรมได้ไม่เป็นโมฆะ เพราะความสามารถหาได้ถูกจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 6 ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 177/2528
พินัยกรรมทำขึ้นในขณะเจ้ามรดกมีสติดี สามารถแสดงเจตนาทำพินัยกรรมได้ แม้จะเป็นบุคคลผู้เสมือนไร้ความสามารถก็เพียงไม่สามารถจัดการงานบางประการของตนเองได้เท่านั้น การทำพินัยกรรมเป็นกิจการเฉพาะตัวที่จะต้องแสดงเจตนาด้วยตนเองและผู้พิทักษ์ก็ได้ให้ความยินยอมแล้ว พินัยกรรมจึงสมบูรณ์ตามกฎหมาย
การสิ้นสุดแห่งความเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ
ถ้าเหตุที่ทำให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถได้สิ้นสุดไปแล้ว และเมื่อบุคคลผู้นั้นเองหรือบุคคลใด ๆ ดังกล่าวมาในมาตรา 28 ร้องขอต่อศาลก็ให้ศาลสั่งเพิกถอนคำสั่งที่ให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถนั้น (มาตรา 36 ประกอบมาตรา 31)